กระตุ้นความคิดด้วยเสียงรบกวน
เวลาต้องการใช้ความคิด คิดเรื่องอะไรใหม่ๆ สักเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ท่านผู้อ่านชอบที่จะไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดกันบ้างครับ บางคนอาจต้องการความเงียบงันที่ไร้การรบกวนใดๆ ห้ามมีเสียง ห้ามมีความเคลื่อนไหวที่รบกวนสมาธิ จึงจะคิดออก ก็มักไปเร้นกายอยู่ในที่ที่ห่างไกลผู้คน บางคนก็ชอบไปฝังตัวอยู่ตามห้องสมุดสาธารณะต่างๆ แต่เคยสังเกตไหมครับว่า มีคนบางกลุ่มชอบไปทำงานกันตามร้านกาแฟที่เต็มไปด้วยเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊ก เสียงคนสั่งกาแฟ สั่งขนม เสียงเครื่องบดกาแฟ เสียงคนลากเก้าอี้ เดินกันไปมา ผสมปนเปกันกับเสียงดนตรีที่เคล้าคลออยู่ในร้านตลอดเวลา และเคยสงสัยกันต่อไหมครับ ว่าบรรยากาศที่ค่อนไปทางวุ่นวายอย่างนั้น จะมีสมาธิทำงาน หรือคิดสร้างสรรค์อะไรได้หรือ จะว่าไปผมก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นครับ วันนี้เลยอยากจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
คงต้องออกตัวก่อนนะครับว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นความชอบส่วนบุคคลครับ เหมาะสมกับคนหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมกับอีกคนหนึ่งเสมอไป
ก่อนอื่นผมขอแบ่งออกเป็นสองสภาวะครับ สภาวะแรกคือเวลาที่เราต้องการความสงบ เพื่อคิดทบทวนอะไรสักอย่างที่สำคัญ หรืองานที่ต้องการสมาธิสูง ต้องการความละเอียดรอบคอบ พิถีพิถัน สถานที่ที่ควรอยู่ ก็น่าจะเป็นที่เงียบๆ ไม่มีอะไรมารบกวน แต่ถ้าเป็นสภาวะที่สองคือเมื่อต้องการคิดสิ่งใหม่ๆ ต้องการความคิดสร้างสรรค์ พบว่าการที่หลายคนไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ เวลาที่ต้องการไอเดียใหม่ๆ ไม่ใช่เพราะที่นั่นมีกาแฟอุ่นๆ แอร์เย็นๆ มีไฟให้ใช้ฟรี เก้าอี้นุ่มนั่งสบาย แต่ความลับที่แท้จริง คือ เสียงรบกวน ครับ มีงานวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้อยู่มากพอสมควร หากท่านผู้อ่านสนใจในรายละเอียด ลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตโดยใช้คำประมาณ music, environment, productivity ก็จะพบงานวิจัยจากสถาบันต่างๆ ที่ศึกษาและพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งจะได้ผลที่ไปในทิศทางเดียวกันคือเสียงรบกวนที่พอดีๆ เหล่านี้ ช่วยกระตุ้นให้ต่อมความคิดสร้างสรรค์ทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะความเงียบงันเกินไป อาจทำให้เราจมดิ่งกับความคิด จมดิ่งกับตัวเองมากเกินไป หัวใจหลักของความคิดสร้างสรรค์นั้น เราต้องกระตุ้นให้สมองเกิดการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าได้ด้วยจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ การที่เสียงรบกวนเหล่านี้ เข้ามาแย่งความสนใจเราไปบ้างในบางครั้ง ก็เหมือนกับการกระตุกสมาธิของเราไม่ให้จมดิ่งไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ มากเกินไป การที่ความสนใจของถูกหันเหในบางจังหวะ ทำให้สมองตื่นตัว และผ่อนคลาย ซึ่งทำให้ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่านั่นเองครับ แล้วจำเป็นว่าเราต้องไปร้านกาแฟหรือสถานที่ที่มีเสียงรบกวนทุกครั้งที่เราต้องการไอเดียใหม่ๆ หรือไม่ คำตอบคือไม่เสมอไปครับ ทุกวันนี้มีแอพพลิเคชันรวมทั้งเว็บไซต์ที่สามารถช่วยเราสร้างบรรยากาศแบบนั้นขึ้นมาได้ เว็บไซต์ที่ผมชอบมากที่สุด และใช้อยู่เป็นประจำ คือ https://www.noisli.com/ ซึ่งจะมีเสียงธรรมชาติให้เราได้เลือกหลายรูปแบบทั้งเสียงร้านกาแฟ เสียงนก เสียงลม ฟ้าร้อง ฝนตก คลื่นทะเล แล้วแต่ว่าเสียงแบบไหนถูกจริตกับเรา ทำให้ต่อมความคิดสร้างสรรค์ของเราทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือถ้าใครชอบฟังเพลง ก็สามารถกระตุ้นความคิดด้วยเสียงเพลงได้ เพียงแต่ว่าเพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ไม่มีเสียงร้อง เพราะเสียงร้องจะทำให้เราเสียสมาธิได้ง่ายมาก ผมเคยต้องทำงานชิ้นหนึ่งที่ต้องใช้สมาธิอยู่กับตัวเองระดับหนึ่งแต่คนที่นำทำกิจกรรมเปิดเพลงที่มีเสียงร้อง จนสุดท้ายทำงานไม่ได้ เพราะเสียงร้องมันแย่งความสนใจไปตลอดเวลา นอกจากนี้ควรใช้เพลงที่มีจังหวะพอดีๆ เข้ากับตัวเรา เปิดคลอเบาๆ ด้วยระดับเสียงที่พอดีๆ ไม่ดังจนเกินไป อาจใช้แนวเพลงที่เราชอบ แต่ก็ระวังอย่าเคลิบเคลิ้มตามเพลงมากเกินไป จนงานไม่เดิน(ฮ่า)
โดยรวมๆ ผมเรียกเสียงรบกวนเหล่านี้ว่า Creative Noise เพราะมันเป็นเสียงที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของผมได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกต ผมจะใช้คำว่า พอดีๆ เพราะความชอบของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าใครไม่เคยใช้วิธีเหล่านี้ และมีช่วงใดที่ต้องการไอเดียใหม่ๆ อยากกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์เหมือนอย่างที่ผมเล่ามา ลองเติม Creative Noise ที่พอดีๆ เข้าไปดูสิครับ